หน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงาน |
|
|
|
|
|
|
|
หน้าที่และเป้าหมาย (Purpose) : หออภิบาลผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิดให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่มีภาวะวิกฤตตามมาตรฐานวิชาชีพให้ปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน รวมถึงการส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟูสุขภาพอย่างมีคุณภาพ และผู้ใช้บริการพึงพอใจ |
|
|
|
|
|
|
|
ขอบเขตการให้บริการของหน่วยงาน |
|
|
|
|
|
|
|
หออภิบาลผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด ให้การรักษาพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะวิกฤตที่เกิดภายนโรงพยาบาลที่ต้องเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง หรือต้องใช้อุปกรณ์ / เครื่องมือพิเศษทางการแพทย์ และให้คำแนะนำแก่บิดามารดาและญาติ ในการดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิด โดยกลุ่มโรคที่สำคัญคือ |
|
|
|
|
|
1. Premature baby |
|
|
2. Severe birth asphyxia |
|
|
3. Meconium Aspirate Syndrome ที่มีอาการหายใจลำบาก |
|
|
4. Shock จากสาเหตุต่างๆ |
|
|
5. Organ failure |
|
|
6. Persistent hypoglycemia |
|
|
7. Heart failure, Cyanotic heart disease |
|
|
8. น้ำหนักทารกแรกเกิดน้อยกว่า 1,500 กรัม |
|
|
9. Congenital abnormally ซึ่งต้องรักษาทางศัลยกรรม |
|
|
10. ทารกหลังผ่าตัดที่ต้องดูแลใกล้ชิด |
|
|
11. Congenital pneumonia |
|
|
12. Clinical sepsis |
|
|
|
|
|
ผู้ป่วยที่มาใช้บริการส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขตบางคอแหลม ยานนาวา และพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งประชากรที่มีภูมิลำเนาต่างจังหวัดแต่มาอาศัยในกรุงเทพมหานคร และเนื่องจากโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิระดับต้น จึงรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลในเครือสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ในระบบส่งต่อ และโรงพยาบาลเครือข่ายพันธมิตรระบบส่งต่อ เช่น ศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมีจำนวนเตียง 10 เตียง |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ในปี 2564 หออภิบาลผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด มีบุคลากรประกอบด้วย |
|
|
|
แพทย์ จำนวน 19 คน แบ่งเป็นข้าราชการ 13 คน และแพทย์ห้วงเวลา 6 คน |
|
ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาต่าง ๆ ได้แก่ |
|
|
แพทย์เฉพาะทางทารกแรกเกิด 2 คน |
|
|
แพทย์โรคหัวใจ 1 คน |
|
|
แพทย์โรคปอด 3 คน |
|
|
แพทย์โรคภูมิแพ้ 3 คน |
|
|
แพทย์โรคทางเดินอาหาร 1 คน |
|
|
แพทย์โรคไต 1 คน |
|
|
แพทย์โรคทางระบบประสาทส่วนกลาง 1 คน |
|
|
แพทย์โรคทางต่อมไร้ท่อ 1 คน |
|
|
แพทย์เฉพาะทางระบบการติดเชื้อ 2 คน |
|
|
แพทย์กระตุ้นพัฒนาการ 2 คน |
|
|
แพทย์โรคระบบโลหิตวิทยา 1 คน |
|
|
|
|
พยาบาลที่ปฏิบัติงานในปี 2564 จำนวน 17 คน พยาบาเวรผลัด ขึ้นเวรแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา |
|
|
เวรเช้า ปฏิบัติงานเวลา 08.00-16.00 น. |
|
|
เวรบ่าย ปฏิบัติงานเวลา 16.00-00.00 น. |
|
|
เวรดึก ปฏิบัติงานเวลา 00.01-08.00 น. |
|
(อัตรากำลังพยาบาล เวรบ่าย - ดึก 1 คนต่อผู้ป่วย 2 คน)
มีพยาบาลที่จบหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางทารกวิกฤต จำนวน 4 คน ปริญญาโทสาขาอื่น 2 คน |
|
|
|
|
|
|
บุคลากรทางการพยาบาลจำเป็นต้องมีทักษะความรู้ ความสามารถในการประเมินทารก ความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านภาวะการเจ็บป่วย และการใช้เครื่องมือพิเศษต่างๆ รวมทั้งการทำหัตถการทางการพยาบาล ได้แก่ การเจาะเลือด การทำแผล และการช่วยแพทย์ทำหัตถการที่สำคัญ ได้แก่ การช่วยแพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ การช่วยแพทย์ใส่สายสวนทางสะดือ การใส่สาย PICC line การเจาะหลัง เป็นต้น บุคลากรทางการพยาบาลทุกท่านได้ผ่านการฝึกอบรมการช่วยฟื้นคืนชีพและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีการส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมวิชาการเกี่ยวกับการพยาบาลทารกแรกเกิดและทารกวิกฤต ทั้งในและนอกโรงพยาบาล มีระบบพยาบาลพี่เลี้ยงที่เป็น ผู้ฝึกทักษะ ความรู้ และคำแนะนำให้กับพยาบาลใหม่ ในหออภิบาลผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด รับส่งต่อการรักษาในผู้ป่วยทารกแรกเกิดจากมารดา ที่ถูกส่งต่อมาจากโรงพยาบาลในเครือสังกัดโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลลาดกระบัง และโรงพยาบาลสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยใกล้เคียง ได้แก่ ศิริราชพยาบาล และในกรณีเกินขีดความสามารถในการรักษา จะให้การรักษาเบื้องต้น และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า |
|
|
|
|
|
เป็นแหล่งฝึกงานของนักศึกษาแพทย์ในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยได้แก่ ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลพระมงกุฎ รวมทั้งเป็นสถานที่ฝึกงานของนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในหน่วยงานมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพียงพอ มีทะเบียนประวัติเครื่องมือในหน่วยงาน มีการตรวจสภาพการใช้งานเป็นระยะ มีหน่วยงานบำรุงรักษาเมื่อพบอุปกรณ์ชำรุดรวมทั้งจัดซื้อเพิ่มเติมเมื่อพบว่าอุปกรณ์เสียหายไม่สามารถจะแก้ไขได้ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
1. มีการดูแลแบบ Family care center ให้มารดาบิดาได้มีโอกาสได้เลี้ยงดูทารกในหน่วยงาน เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์แม่ลูก มีห้องให้มารดาสามารถนอนเฝ้าทารกที่หน่วยงานได้ เพื่อลดความวิตกกังวลในการเดินทางมาเยี่ยมบุตร สะดวกในการช่วยดูแล และส่งเสริมให้มารดาบีบน้ำนมอย่างต่อเนื่องสามารถนำมาให้ทารกกินได้ทันที |
|
|
|
|
|
2. ส่งเสริมพัฒนาการของทารกโดยจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม ได้แก่ การมีชั่วโมงปิดไฟลดเสียง เพื่อให้ทารกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มีการทำ kangaroo ให้กับทารกในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์แม่ลูกและช่วยควบคุมอุณหภูมิ |
|
|
|
|
|
3. มีการให้วัคซีนแก่ทารกทุกรายก่อนกลับบ้าน |
|
|
|
|
|
4. ตรวจคัดกรองต่างๆ ที่สำคัญก่อนกลับบ้าน ได้แก่ thyroid screening ตรวจ ultrasound ตรวจหู ตรวจตา เป็นต้น เมื่อพบปัญหาให้รีบแก้ไขก่อนกลับบ้าน |
|
|
|
|
|
5. สอนสุขศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ร่วมกับการแจกแผ่นพับความรู้เกี่ยวกับโรค |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|